อาร์เซนอล 0 – 0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ชมวีดีโอคลิปไฮไลท์การแข่งขัน คลิ๊กที่นี่
สนาม ไฮบิวรี่, อังกฤษ
ผู้ชมในสนาม 38,313 คน
รายการ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
เวลา 03.00 น. วันพุธที่ 4 มกราคม 2548
ผู้ตัดสิน เกรแฮม โพลล์
ปิศาจแดง กลับออกมาด้วยผลเสมอในการไปเยือนสนามไฮบิวรี่ เป็นครั้งสุดท้ายในเกมลีก
การพบกันระหว่างอาร์เซน่อล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในครั้งนี้ไม่ค่อยจะดุเดือดมากนักสำหรับพวกขี้กังวลทั้งหลาย และมีจังหวะอันตรายน้อยมากในนัดนี้ที่จะไปข่มขวัญเชลซี ซึ่งในตอนนี้นำห่างไปเป็น 13 คะแนนแล้วในตอนบนสุดของตารางพรีเมียร์ชิพ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีโอกาสที่จะคว้าชัยชนะได้มากกว่า แต่เมื่อจบเกมทั้ง 2 ทีมคงจะไม่มีอะไรให้โวยวายได้มากนัก
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำการเปลี่ยนแปลงทีม 2 ตำแหน่งจากชุดที่ถล่มเอาชนะโบลตัน 4-1 ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อวันสิ้นปี เวส บราวน์ หายจากอาการบาดเจ็บที่น่องกลับมาลงเล่นได้ และรุด ฟาน นิสเตลรอย ก็กลับมาเป็นตัวจริงหลังจากได้ลงเล่นเป็นตัวสำรองในเกมที่พบกับโบลตัน โดยทั้งคู่ลงเล่นแทนที่ของคีแรน ริชาร์ดสัน และหลุยส์ ซาฮา
แน่นอนว่าไม่มีรอย คีน และพาทริก วิเอร่า ในเกมนี้ แต่เป็นจริงตามที่ท่านผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้กล่าวเอาไว้ว่าเกมนัดนี้มีประวัติศาสตร์การต่อสู้กันอย่างดุเดือดมายาวนาน ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1960 เป็นเดนิส ลอว์ และเอียน ยัวร์ ที่ได้ขึ้นพาดหัวข่าวเป็นประจำในการพบกันอย่างเผ็ดร้อนของทั้ง 2 สโมสร รวมทั้งไบรอัน แม็คแคลร์ และไนเจล วินเทอร์เบิร์น มีเรื่องราวกันเมื่อกว่า 10 ปีมาแล้วในช่วงที่ทั้ง 2 สโมสรต่อสู้กันทุกปีเพื่อแย่งแชมป์ลีกสูงสุด และมีเรื่องราวระหว่างนักเตะอีกหลายครั้งในการพบกันของ 2 สโมสรที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเกมฟุตบอลครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
ครั้งนี้เป็นการไปเยือนสนามไฮบิวรี่ ที่ทำให้ระลึกถึงความหลัง เพราะหากไม่ได้พบกับอาร์เซน่อล ในศึกเอฟเอ คัพ การเยือนครั้งนี้จะเป็นการเยือนสนามที่มีชื่อเสียงทางตอนเหนือของกรุงลอนดอนเป็นครั้งสุดท้ายของสโมสร โดยเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลนี้ทีมไอ้ปืนใหญ่ จะย้ายไปที่สนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ที่ทันสมัยกว่าซึ่งตั้งอยู่ที่แอชเบอร์ตัน โกรฟ ห่างออกไปเพียงไม่กี่ร้อยหลา ทำให้เป็นการสิ้นสุดความสัมพันธ์ 95 ปีของพวกเขากับสนามอันมีประวัติศาสตร์ฟุตบอลยาวนานที่สุดแห่งหนึ่ง
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปเยือนสนามของอาร์เซน่อล เป็นครั้งแรกในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อวันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 1920 ซึ่ง 2 ประตูจากโจ สเป็นซ์ และอีก 1 ประตูจากเฟร็ด ฮ็อปกิ้น ช่วยให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าชัยชนะ 3-0 ได้สำเร็จ การไปเยือนในลีก 68 ครั้งต่อมาของปิศาจแดง เป็นชัยชนะ 17 ครั้ง ครั้งล่าสุดคือเกมที่พวกเขาถล่มเอาชนะได้ 4-2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกมแห่งความทรงจำที่ดีที่สุดระหว่างอาร์เซน่อล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สนามไฮบิวรี่ คือเกมซึ่งเป็นที่กล่าวขานในเดือนกุมภาพันธ์ 1958 โดยปิศาจแดง เอาชนะได้ 5-4 เพียง 6 วันก่อนเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเครื่องบินตกที่เมืองมิวนิค
นอกจากนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยลงเล่นที่สนามของอาร์เซน่อล ในรายการอื่นอีก 9 ครั้ง รวมทั้งเกมเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดรีเพลย์ ที่พบกับฟูแล่ม ในปี 1958 โดยอเล็กซ์ ดอว์สัน ทำแฮททริกในเกมนั้นช่วยให้ปิศาจแดง เข้ารอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จหลังจากเหตุการณ์ที่เมืองมิวนิคเพียง 3 เดือน ในขณะที่ลี ชาร์ป เป็นนักเตะของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกเพียงคนเดียวที่เคยทำแฮททริกได้ที่สนามไฮบิวรี่ ซึ่งเกิดขึ้นในเกมลีกคัพ รอบที่ 4 โดยปิศาจแดง ถล่มเอาชนะได้ 6-2 ในเดือนพฤศจิกายน 1990
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในชุดทีมเยือนสีน้ำเงินล้วนเริ่มต้นเกมโดยบุกเข้าใส่อัฒจันทร์ฝั่งนอร์ธแบงค์ ซึ่งจะถูกทำลายทิ้งเมื่อสนามไฮบิวรี่ ได้รับการปรับปรุงใหม่หลังจากอาร์เซน่อล เลิกใช้แล้ว มันเป็นการเริ่มต้นเกมที่สดใส มีบรรยากาศยอดเยี่ยมอย่างที่เคย และแฟนบอลของทั้ง 2 ทีมส่งเสียงเชียร์สนุกสนานตั้งแต่เริ่มเกม
เวย์น รูนี่ย์ และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดูมีชีวิตชีวามาก ในขณะที่ทั้งอเล็กซานเดอร์ เฮล็บ และฟร็องเซซ ฟาเบรกาส ได้โอกาสในช่วงต้นเกมที่จะทำให้ทีมไอ้ปืนใหญ่ ขึ้นนำ
การลุยเข้าใส่กันอย่างหนักหน่วงเป็นลักษณะปกติของเกมระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และอาร์เซน่อล แต่ต้องรอจนถึงนาทีที่ 27 เกรแฮม โพลล์ ผู้ตัดสินจึงจะได้ล้วงกระเป๋าแจกใบเหลืองใบแรกของเกม หลังจากไรอัน กิ๊กส์ เข้าไปสกัดโฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส ล้มลง
เกมยังคงผลักกันรุกและรับจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งโดยอาร์เซน่อล มีจังหวะได้ลุ้นมากกว่าจากลูกฟรีคิกของเธียร์รี่ อองรี ซึ่งเหินออกข้างเสาด้านซ้ายของเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ไปนิดเดียว ผู้รักษาประตูของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดูเหมือนว่าจะไปชนกับเสาประตูในจังหวะที่พุ่งมาป้องกันลูกยิงลูกนี้ แต่หลังจากการปฐมพยาบาลของโรเบิร์ต สไวร์ นักกายภาพบำบัดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาก็เล่นต่อได้อย่างไม่มีปัญหา
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกือบจะขึ้นนำอย่างง่ายดายในนาทีที่ 44 เมื่อรุด ฟาน นิสเตลรอย ได้ซัดเต็มข้อ เยนส์ เลห์มันน์ ผู้รักษาประตูของอาร์เซน่อล พุ่งไปปัดลูกยิงของดาวยิงดัตช์แมนเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม บอลลอยไปเข้าทางโรนัลโด้ แต่ปีกทีมชาติโปรตุเกสกลับควบคุมบอลในจังหวะยิงไม่ได้ทำให้บอลลอยข้ามคานออกไปไกลลิบ
จบครึ่งแรก ทั้งคู่ยังเสมอกันอยู่ 0-0 โดยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีจังหวะดีกว่าเล็กน้อย
ทั้ง 2 ทีมเกือบจะได้ประตูขึ้นนำตั้งแต่เริ่มต้นครึ่งหลังไปได้ไม่กี่นาที ลูกโหม่งของรูนี่ย์ ทำให้กองเชียร์ของปิศาจแดง ที่เดินทางตามมาด้วยได้ลุ้น ในขณะที่จิลแบร์โต้ ซิลวา ก็ทำให้แฟนบอลของอาร์เซน่อล ต้องลุกขึ้นยืนจากลูกยิงที่ไปติดบล็อก
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มที่จะครองบอลได้มากขึ้นและทำให้มีจังหวะทำประตูมากขึ้น โรนัลโด้ มีจังหวะลากเลื้อยมากขึ้นทางฝั่งขวา และลูกเปิดของเขาก็สร้างปัญหาให้กับทีมไอ้ปืนใหญ่ ลูกยิงของกิ๊กส์ ออกข้างไปเยอะ แต่ลูกยิงของฟาน นิสเตลรอย ออกข้างไปนิดเดียวหลังจากริโอ เฟอร์ดินานด์ แทงบอลทะลุช่องมาให้อย่างพอเหมาะพอดี
ฟาน นิสเตลรอย มีโอกาสใกล้เคียงอีกครั้ง แล้วก็เป็นโรแบร์ ปิแรส ที่พุ่งเข้าหาลูกเปิดของอองรี แต่ไม่สามารถหาจังหวะยิงถนัดได้
ครึ่งหลังเล่นกันอย่างสนุกสูสีมากกว่าในครึ่งแรก และในนาทีที่ 70 กองเชียร์เจ้าถิ่นก็ลุกขึ้นยืนประท้วงจะเอาลูกจุดโทษ หลังจากฟาเบรกาส ถูกแกรี่ เนวิลล์ สกัดล้มลงในกรอบเขตโทษ แต่โพลล์ ผู้ตัดสินอยู่ในตำแหน่งที่ดีและโบกมือให้เล่นต่อไปในทันที อองรี ตามไปฉกบอลมาได้แล้วก่อนที่จะยิงเล่นทาง แต่บอลพุ่งออกข้างไปอย่างไม่ได้ลุ้น
โรนัลโด้ เกือบจะทำประตูชัยได้ในนาทีที่ 72 จากลูกยิงทางฝั่งขวาซึ่งเกือบจะลอดตัวเลห์มันน์ เข้าประตูไป
ก่อนหมดเวลา 5 นาที เนวิลล์ ซึ่งแอบสอดขึ้นมาทางฝั่งขวาก็เกือบจะทำประตูได้ รูนี่ย์ เปิดบอลโด่งขึ้นหน้าอย่างชาญฉลาดให้เนวิลล์ ที่วิ่งสอดขึ้นมาได้ยิงในกรอบเขตโทษ แต่บอลพุ่งเฉี่ยวเสาออกหลังไปนิดเดียว
เกมมาถึงช่วงสุดท้าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกกดดันหวังจะทำประตูชัย และก็เกือบจะได้เมื่อลูกโหม่งเต็มแรงของเวส บราวน์ พุ่งเข้าหาประตู แต่เอ็มมานูเอล เอบูเอ สกัดบอลเอาไว้ได้ทันเวลา
หมดเวลาการแข่งขัน ปิศาจแดง บุกมาเสมอกับอาร์เซน่อล 0-0 ทำให้ในตอนนี้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงเล่นไปแล้ว 21 นัด มี 45 คะแนน ตามหลังเชลซี จ่าฝูงและแชมป์เก่าอยู่ 13 คะแนน โอกาสลุ้นแชมป์ลีกเริ่มยากลำบากมากขึ้นไปอีก (บรรยายเกมโดย DaKinG)
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
อาร์เซนอล
เยนส์ เลห์มันน์ 1
โซล แคมป์เบลล์ 23
ปาสกาล ซีก็อง 18 ( น. 66)
โลร็อง 12 ( น. 43)
โคโล่ ตูเร่ 28
ฟร็องเซซ ฟาเบรกาส 15
อเล็กซานเดอร์ เฮล็บ 13
โรแบร์ ปิแรส 7
จิลแบร์โต้ ซิลวา 19
เธียร์รี่ อองรี 14
โฆเซ่ เรเยส 9
สำรอง
มานูเอล อัลมูเนีย 24
เอ็มมานูเอล เอบูเอ 27 น. 89 โฆเซ่ เรเยส 9
ฟิลลิปเป้ เซนเดอรอส 20
มาดิเยอ ฟลามินี่ 16 น. 80 ฟร็องเซซ ฟาเบรกาส 15
เดนนิส เบิร์กแคมป์ 10 น. 73 อเล็กซานเดอร์ เฮล็บ 13
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ 19
เวส บราวน์ 6
ริโอ เฟอร์ดินานด์ 5
แกรี่ เนวิลล์ 2
จอห์น โอเชีย 22 ( น. 71)
มิเกล ซิลแวสตร์ 27
ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ 24
ไรอัน กิ๊กส์ 11 ( น. 27)
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 7
เวย์น รูนี่ย์ 8 ( น. 63)
รุด ฟาน นิสเตลรอย 10
สำรอง
ทิม โฮเวิร์ด 1
ฟิลลิป บาร์ดสลี่ย์ 26
เชราร์ด ปิเก้ 28
ปาร์ค จีซุง 13 น. 73 ไรอัน กิ๊กส์ 11
หลุยส์ ซาฮา 9
สถิติของเกม
อาร์เซนอล ยิงประตู 8 ครั้ง ตรงกรอบ 5 ครั้ง, ฟาวล์ 17, เตะมุม 6, ล้ำหน้า 1, ใบเหลือง 2, การครองบอล 54%
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยิงประตู 16 ครั้ง ตรงกรอบ 6 ครั้ง, ฟาวล์ 13, เตะมุม 9, ล้ำหน้า 2, ใบเหลือง 3, การครองบอล 46%
คะแนนความสามารถ
อาร์เซนอล เยนส์ เลห์มันน์ 7, โลร็อง 7, โคโล่ ตูเร่ 7, โซล แคมป์เบลล์ 8, ปาสกาล ซีก็อง 5, โรแบร์ ปิแรส 7, ฟร็องเซซ ฟาเบรกาส 7, จิลแบร์โต้ ซิลวา 7, อเล็กซานเดอร์ เฮล็บ 5, โฆเซ่ เรเยส 7, เธียร์รี่ อองรี 7, เอ็มมานูเอล เอบูเอ (สำรอง) 5, มาดิเยอ ฟลามินี่ (สำรอง) 5, เดนนิส เบิร์กแคมป์ (สำรอง) 6
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ 7, แกรี่ เนวิลล์ 7, ริโอ เฟอร์ดินานด์ 8, เวส บราวน์ 9, มิเกล ซิลแวสตร์ 6, จอห์น โอเชีย 6, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 7, ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ 8, ไรอัน กิ๊กส์ 5, เวย์น รูนี่ย์ 7, รุด ฟาน นิสเตลรอย 7, ปาร์ค จีซุง (สำรอง) 6
แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
Por